ต่อให้ขยันแค่ไหน พยายามเท่าไหร่ แต่ยังไม่ก้าวหน้าซักที คงต้องกลับมาคิดแล้วว่ามีปัญหาที่เรา หรือที่ทำงานกันแน่ อะไรในที่ทำงาน ที่ทำให้เรารู้สึกว่า ควรจะตัดสินใจทำต่อ หรือพอแค่นี้
เบื่อและไม่อยากไปทำงาน
เราอาจจะเคยเป็นเบอร์หนึ่งของแผนก แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว แค่จะเข็นให้งานเสร็จสักชิ้น ในแต่ละสัปดาห์ยังยากเลย เพราะเราเริ่มเช็กโซเชียลทุกๆ สิบนาทีการทำงาน กลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่คิดถึง หมดความกระตือรือร้นและ เบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลางานที่ได้รับมอบหมายงาน
นอกจากกระทบต่องานของตัวเองแล้ว สิ่งเหล่านี้ ยังส่งผลให้เริ่มมีปากเสียง กับเพื่อนร่วมงาน เนื่องจากงานของเราช้าเกินกำหนดกระทบต่อระบบการทำงาน ในแผนก ที่หนักกว่านั้นคือการทะเลาะกับหัวหน้าจนทำให้รู้สึกว่า เราไม่สามารถควบคุมอะไรในการทำงานได้เลย
รู้สึกว่าอยู่ต่อไปยังไงก็ไม่โต
ถ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีโอกาสก้าวหน้า ในที่ทำงาน เราควรต้องคิดได้แล้ว ว่าเราควรจะทำอะไรซักอย่าง หรือแม้กระทั่งหางานใหม่ เพราะโอกาสในการก้าวหน้า คือเป้าหมายสำคัญในการทำงานของมนุษย์เงินเดือน
ทั้งการที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง หรือการได้รับโอกาสใหม่ ๆ เช่น การได้รับมอบหมาย ให้ทำโปรเจกต์ใหม่ได้ทำสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน หรือได้เรียนรู้งานจากระดับหัวหน้างาน
ลองเข้าไปคุยเรื่องนี้กับหัวหน้างานก่อนว่ามีเหตุผลอะไรไหม แต่ถ้าดูแล้วยังไม่มีโอกาสล่ะก็ ควรจะติดได้แล้ว ว่าเรามาทำอะไรที่นี่
พูดคุยเรื่องงานในแง่ลบให้คนในครอบครัวฟัง
ช่วงเวลาทานข้าวกับครอบครัว จากที่เคยเป็นการพูดคุยเรื่องราวสนุกสนาน ในที่ทำงานของเรา ความสนุกของลูกที่โรงเรียนและ การวางแผนไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุดที่จะมาถึง ถูกแทนที่ด้วยการถูกตำหนิและ ถูกต่อว่าจากที่ทำงานของเราเป็นหัวข้อหลัก
รวมไปถึงพฤติกรรมที่ไม่ดี ของเพื่อนร่วมงานวันแล้ว วันเล่า ที่คนในครอบครัวของเรา ได้รับฟังแต่เรื่องงานในเชิงลบ หากสถานการณ์นี้ยังเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำและมีแนวโน้มว่าจะบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เราอาจต้องเริ่มพิจารณาถึงงานของเราอย่างจริงจังมากขึ้นแล้ว
เริ่มมองหางานใหม่
ถ้าเว็บที่เราเข้าเริ่มเปลี่ยน เป็นเว็บไซต์หางาน เริ่มพิมพ์คำว่า “หางาน” เป็นคำค้นหา พร้อมเคาะปุ่มเอ็นเทอร์นั่นเท่ากับว่าเราผ่านจุดสุดท้าย ของความอดทน ในงานปัจจุบันไปแล้ว และหากทุกวันมีแต่คำว่า ฉันจะหางานใหม่ แวบเข้ามาในความคิด
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อาจไม่เป็นการดีที่เราจะใช้ชีวิตด้วยการทนทำงาน ที่ไม่สร้างความสุขแบบนี้ต่อไปอีก ซึ่งนอกจากจะเป็นผลเสียต่อตัวเองแล้ว ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน รวมถึงบริษัทก็ต่างได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน
คิดถึงภาพตอนเกษียณ
ถ้าเราเริ่มจินตนาการภาพตัวเอง ปลดเกษียณหยุดทำงานและนอนพักผ่อนอยู่บ้าน บางคนถึงขั้นนับปี นับเดือน นับวันที่จะเกษียณจากงานที่ทำอยู่ตอนนี้เลยไหม
เพราะในแต่ละวันนั้น ไม่ได้มีแรงจูงใจให้ อยากทำงาน ไม่มีความคิดสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าออกมา เริ่มทำงานแบบส่งๆ ก็อาจจะถึงเวลาที่เราต้องเริ่มมองหาทางใหม่ๆ หรือที่ใหม่ๆ ได้แล้ว
ร่างกายเริ่มแปรปรวน
จากที่เคยเป็นคนนอนหลับง่าย กลายเป็นคนนอนไม่หลับ ตื่นมากลางดึกบ่อยๆ เพราะต้องเก็บ เอาความ เครียดจากเรื่องงานไปนอนฝัน นี่คือจุดเริ่มต้นของระบบชีวิตที่แปรปรวน จากที่เคยแข็งแรง อาจจะกลายเป็นสามสันดี สี่วันไข้ก็ได้
การป่วยกาย เป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งได้เช่นกันว่า สุขภาพจิตของเรากำลังแย่ นอกจากนี้หากงานรบกวน ความคิดจนทำให้ทุกๆ เย็นต้องนัดเพื่อนออกไปสังสรรค์เพื่อให้หายเครียด
ก็อาจเป็นสัญญาณเตือน ว่างานนี้อาจจะไม่เหมาะกับเราอีกต่อไปแล้ว
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวอย่างที่เรานำมาเสนอ แต่ถ้าเป็นไปได้ เราลองมองหาปัญหาที่แท้จริงแล้วพยายามที่จะแก้ไข ถ้าหากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุจากตัวเราเองไม่ว่าจะเปลี่ยนงานอีกกี่แห่งปัญหานี้ก็ไม่หายไป ค่อยๆ วางแผนและตัดสินใจอย่างรอบคอบ เชื่อว่าทุกคนสามารถกลับมามีความสุข ทั้งชีวิตและการงานได้อย่างแน่นอน